นิทานอีสเตอร์สำหรับเด็ก
โดย เอลซา ไซครอฟสกี
ฉันค่อยๆ เดินเข้าไปในชั้นเรียนการสนทนาภาษาญี่ปุ่น ในบรรดาวิชาทั้งหมด วิชานี้ยากที่สุด ฉันขยาดสามชั่วโมงกับการสนทนาภาษาต่างประเทศที่พูดยากมากจนลิ้นพันกัน หลังจากพูดถูกๆ ผิดๆ กับคู่สนทนา ฉันต้องประหลาดใจ เมื่อได้ยินหญิงสาวที่นั่งข้างหลังฉัน อ่านบทสนทนาคนเดียว พอลลีนั่งข้างหลังฉันตลอดเทอม ทว่าเราไม่เคยได้คุยกันเสียที ฉันหันหน้าไปชำเลืองมองเธอ และเห็นคู่สนทนาของพอลลีไม่ได้มาเรียน ขณะที่ฉันฟังพอลลีดิ้นรนอ่านบทสนทนายาวๆ ฉันเสียวสะดุ้ง เมื่อเอาใจเธอมาใส่ใจฉัน “คนเดียวจะร้องเพลงคู่ได้อย่างไร” คุณครูกล่าวขำๆ “พอลลี เธอหาคู่สนทนาบทต่อไป” ฉันกระซิบ “เธออยากอ่านบทสนทนากับฉันไหม” แววตาพอลลีเป็นประกาย “ได้เลย ขอบใจนะ!” เธอกระซิบตอบ เราอ่านบทสนทนาต่อไปด้วยกัน พอลลีขอบคุณฉันอีกครั้งหลังจากนั้น ฉันหันไปตั้งใจฟังคำอธิบายของคุณครู ถึงรูปแบบการพูดที่ไม่เป็นทางการในภาษาญี่ปุ่น และลืมคำสนทนากับพอลลีไปเลย ในที่สุดเมื่อเสียงกริ่งดังขึ้น ฉันเก็บตำราและโน้ต เมื่อพอลลียื่นกระดาษโน้ตสีเหลืองมาแปะบนมือฉัน เมื่อออกมาจากห้องเรียน ฉันเปิดโน้ตอ่าน “เอลซาที่รัก ขอบใจที่อ่านบทสนทนากับฉันวันนี้! ขอให้เธอสำเร็จการศึกษาและมีความสุข! เธอทำได้!”
“ห้องหรรษา”ที่น่าสนุกสนานรื่นเริงชุดนี้ เปี่ยมด้วยความตื่นเต้น เสียงเพลงและสิ่งที่ไม่คาดฝันนานับประการ ซึ่งคุณหนูๆจะติดอกติดใจ
โดย เอลซา ไซครอฟสกี้
เมื่อฉันนึกย้อนหลังถึงเทอมแรกตอนเป็นนักศึกษาปีหนึ่งในวิทยาลัยที่ลืมไม่ลง ภาพชายหนุ่มสูงร้อยเก้าสิบห้าเซนติเมตร หุ่นเก้งก้าง ผมสีดำ ผุดขึ้นมาในหัวคิด สตีฟเป็นรุ่นพี่ปีสี่เรียนคณะเดียวกับฉัน แต่เราพบกันครั้งแรกในหลักสูตรการศึกษาทั่วไป ฉันนึกชมเชยเขา เพราะเขามานั่งแถวแรกกับฉัน ซึ่งนักศึกษาส่วนใหญ่หลีกเลี่ยง ถึงแม้ว่าฉันจำหน้าเขาแทบไม่ได้ เพราะเห็นเขาแค่สองสามครั้งในออฟฟิศที่คณะ เขาทักทายฉันด้วยการพยักหน้า ฉันมีช่วงว่างสองชั่วโมงก่อนเข้าชั้นเรียน จึงมุ่งหน้าไปที่ห้องอ่านหนังสือใกล้ๆ เพื่อเตรียมตัวสำหรับการสอบบทประพันธ์มหากาพย์เรื่องโอดิสซีย์ ฉันต้องประหลาดใจเมื่อเจอสตีฟที่นั่น เขานั่งจิบกาแฟ อ่านเวนิสวาณิช ปรากฏว่าเขามีช่วงว่างสองชั่วโมงเหมือนกัน ฉันนั่งตรงข้ามเขา และหยิบหนังสือขึ้นมา ฉันขี้อายจึงไม่ได้พูดอะไร เพราะรู้ว่าไม่ควรข้ามรุ่น ระหว่างรุ่นพี่ปีสี่กับรุ่นน้องปีหนึ่ง บางครั้งดูเหมือนว่าสตีฟอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ไม่ได้พูดอะไร จึงค่อนข้างน่าอึดอัด ทว่าเขามีทีท่าเป็นมิตร สองชั่วโมงถัดไปเรานั่งอ่านหนังสือเงียบๆ ตลอดหลายสัปดาห์ ทุกวันอังคารเราสองคนจะนั่งตรงข้ามกัน อ่านหนังสือเงียบๆ ถึงกระนั้น การมีใครอยู่ด้วยสักคนก็ช่วยคลายความเหงา จากการที่นักศึกษาทุกคนต้องท่องตำราและศึกษาเล่าเรียนไม่หยุดหย่อน การที่เขาตั้งอกตั้งใจเรียนอย่างสม่ำเสมอ เป็นตัวอย่างยอดเยี่ยมต่อฉัน เพราะฉันดิ้นรนกับสิ่งที่ทำให้วอกแวก รวมทั้งความตื่นเต้นในโลกมหาวิทยาลัยที่กว้างใหญ่และสลับซับซ้อน ดังภาษิตที่ว่า “เหล็กลับเหล็กให้คมได้ฉันใด คนเราก็ลับเพื่อนมิตรให้เฉียบแหลมได้ฉันนั้น”1 ในที่สุด วันหนึ่งที่อากาศร้อน เขาต้องการเปิดพัดลมในห้องอ่านหนังสือ เขาเป็นสุภาพบุรุษ จึงถามฉันก่อนว่าขัดข้องไหม เราพูดคุยกัน และค้นพบว่าเราต่างก็ชอบเชคสเปียร์ ภาษาศาสตร์ และมิสซิสลี อาจารย์ยอดนิยมในคณะ เขาดีใจที่ได้แบ่งปันข้อมูลที่มีประโยชน์ในหลักสูตรนักศึกษาปีหนึ่งที่ฉันเรียนอยู่ และแนะนำหลักสูตรที่น่าสนใจบางหลักสูตร ช่วงที่เหลือของเทอม การเรียนในวันอังคารของเราคั่นด้วยการพูดคุยนิดหน่อย รวมถึงมุกตลกสอดแทรก เราทักทายกันในห้องโถง และเรียนวิชาเลือกด้วยกันในเทอมถัดไป สตีฟได้รับผลประโยชน์น้อยมากจากการพูดคุยกับฉัน แต่ฉันตระหนักว่าเขาไม่เพียงเห็นว่าเรารักการเรียนเหมือนกัน ทว่าเขาเห็นใจที่ฉันเป็นรุ่นน้องปีหนึ่งที่ไม่รู้อะไร เหมือนที่เขาเคยเป็น เขาไม่ได้ปล่อยให้กรอบสังคมกีดกั้นเขาจากการเอื้อเฟื้อ พอฉันขึ้นปีสอง เขาสำเร็จการศึกษา เราขาดการติดต่อกัน อย่างไรก็ตาม ฉันจะสำนึกในบุญคุณสตีฟเสมอ เพราะสิ่งที่เขาสอนฉันจากตัวอย่างของเขา เมื่อบรรทัดฐานทางสังคมขัดแย้งกับการแสดงน้ำใจ ขอให้น้ำใจเป็นตัวตัดสิน เราไม่ควรให้ความสำคัญต่อบรรทัดฐานทางสังคมที่ส่งเสริมการแยกตัว เช่น การแบ่งแยกนักศึกษาปีสี่กับปีหนึ่งในมหาวิทยาลัย เพื่อจะได้มีความรับผิดชอบในการมอบความรักแก่ผู้ที่พบปะ นอกจากนี้ วันอังคารที่เรานั่งอ่านหนังสือเงียบๆ แสดงให้เห็นว่ามิตรภาพที่ดีไม่ต้องสร้างขึ้นจากการเข้าสังคม หรือเสน่ห์ภายนอก มิตรภาพที่ดีมาจากการมีความเคารพต่อกัน ประกอบกับมีความสนใจเหมือนกัน และสิ่งที่อัครสาวกแนะนำไว้ “เหนือสิ่งอื่นใด จงสวมใส่ความรัก เพราะความรักผูกพันเราให้เป็นหนึ่งเดียวกันอย่างสมบูรณ์”2 1. สุภาษิต 27:17 2. โคโลสี 3:14 Text from Activated magazine. Image designed by Brgfx/Freepik and Katemangostar/Freepik. ![]()
Joyeux Noël (คริสเตียน คาเรียน ค.ศ. 2005) เล่าเรื่อง เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสมรภูมิที่ฝรั่งเศส วันก่อนคริสต์มาส ปี ค.ศ. 1914
การรบสู้ครั้งหนึ่งของสงครามใหญ่ (สงครามโลกครั้งที่ 1) มีทหาร 3,000 คน จากกองทัพสก็อตแลนด์ ฝรั่งเศส และเยอรมัน ในวันก่อนคริสต์มาส ฝ่ายเยอรมันมีใครคนหนึ่งเริ่มร้องเพลง “Silent Night” ไม่นานนักก็มีเสียงปี่สก็อตตอบรับ ไม่ช้าไม่นานทั้งสามฝ่ายที่พิพาทกัน ก็ร้องเพลงนั้นอย่างพร้อมเพรียง จากสนามเพลาะที่ห่างกัน 100 เมตร ซึ่งก่อนหน้านั้นไม่กี่ชั่วโมง เขาเข่นฆ่ากัน เป็นภาพที่กลับกันเลย! ความอบอุ่นจากเพลงที่คนทั่วโลกโปรดปราน ขับกล่อมเขาสู่สันติภาพ ฝ่ายที่สู้รบกันกล้าเสี่ยงออกมาจากสนามเพลาะ และตกลงพักรบอย่างไม่เป็นทางการ ตามแนวสมรภูมิบางแห่งมีการพักรบช่วงคริสต์มาสสิบวัน ศัตรูแลกเปลี่ยนภาพถ่าย ที่อยู่ ช็อกโกแลต แชมเปญจ์ และของขวัญเล็กๆ น้อยๆ เป็นการค้นพบว่าพวกเขามีอะไรเหมือนกันมากกว่าที่ตระหนักเสียอีก รวมถึงน้องเหมียวที่เตร็ดเตร่จากฟากหนึ่งไปยังอีกฟากหนึ่ง และผูกมิตรกับทุกคน ซึ่งทั้งสองฝ่ายอ้างว่าเป็นตัวนำโชค ผู้ที่เคยเป็นศัตรูกัน ติดต่อพูดคุยอย่างสุดความสามารถ ในภาษาของแต่ละฝ่าย ผู้บัญชาการฝ่ายเยอรมัน ฮอร์สเมเยอร์ กล่าวกับร้อยโทฝ่ายฝรั่งเศส ออดีเบิร์ต ว่า “เมื่อเรายึดปารีสได้ สงครามจะจบ คุณจะได้ชวนผมไปดื่มที่บ้านของคุณในรัววาวิน!” “คุณไม่ต้องบุกปารีส เพื่อจะได้มาดื่มที่บ้านผมหรอก!” ออดีเบิร์ตตอบ
การผูกมิตรระหว่างฝ่ายที่สู้รบกัน นอกเหนือไปจากการหยอกล้อ ตอนเช้าหลังวันพักรบคริสต์มาสยุติลง แต่ละฝ่ายเตือนกัน ถึงการยิงถล่มที่เขารู้ว่าจะมาจากหน่วยทหารปืนใหญ่ ภราดรภาพที่ผูกพันขึ้นมาใหม่นั้นแรงกล้ามาก จนทหารบางส่วนไปหลบภัยในสนามเพลาะของฝ่ายตรงข้าม เพื่อให้ปลอดภัยจากอันตราย
อะไรเล่านำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่เหลือเชื่อครั้งนี้ เรื่องทั้งหมดเริ่มต้นจากการโปรดปรานเพลงคริสต์มาสเหมือนกัน เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นข้อเตือนใจว่าสงครามมีทางแก้ นั่นคือหยุดสร้างภาพร้ายๆ แก่ศัตรู และเรียนรู้ที่จะรักเขา ดังที่พระเยซูสอนให้เราทำ แน่นอนว่านี่พูดง่ายมากกว่าทำ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เราต้องหัดมองข้ามข้อแตกต่างภายนอก เช่น เชื้อชาติ สีผิว ความเชื่อ และอุดมการณ์ แล้วตระหนักว่าทุกคนมีความจำเป็นเหมือนกัน คือความรัก ทุกคนต้องการมอบความรัก และได้รับความรัก ถ้าเราแต่ละคนจะพยายามทำความรู้จักอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งดูราวกับว่ามีอะไรเหมือนกันน้อยมาก ก็อาจพบว่าเรามีอะไรเหมือนกันมากกว่าที่ตระหนัก ดังที่ทหารในสมรภูมิแห่งนั้นค้นพบ Text adapted from Activated magazine. Used by permission. Images from the movie Joyeux Noel (2005) directed by Christian Carion. Used under Fair Use guidelines.
นึกถึง - Think by Free Children's Stories on Scribd |
Categories
All
Archives
February 2025
|